เอกสารประกอบการเรียนงานไม้เบื้องต้น

บทที่ 3
งานไม้ ( Wood Work)
คาว่า ช่างไม้ มิได้หมายความแต่เพียงว่า ทาการเลื่อยไม้ ไสกบ หรือตอกตะปูเป็น หากกินความลึกซึ้งถึงผู้ที่มีความถนัด ความสามารถ และมีทักษะในการทางานช่างไม้ มีความรู้เกี่ยวกับชนิด คุณสมบัติของไม้ ใช้เครื่องมือช่างไม้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และทางานมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรต้องมีความรู้เกี่ยวกับ อุปกรณ์ เครื่องใช้และวัสดุอื่นๆที่จะต้องใช้ร่วมกับไม้อีกด้วย เช่น กระจก บานพับ กุญแจ ฯลฯ
ลักษณะของงานอาชีพนี้คือ การปฏิบัติเกี่ยวกับงานช่างไม้ทั่วๆไป เช่น การตัด เลื่อย ไส ปรับ ตอกตะปู ทากาว ทาโครง ทารูปร่างการก่อสร้าง ติดตั้ง ประกอบโครงสร้าง ทาโครงไม้ชั่วคราว ซ่อมแซมและดัดแปลงส่วนต่างๆที่เป็นไม้ บุฝา มุงหลังคา ทาเครื่องเรือน เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
การทางานของช่างไม้ ถ้าพิจารณาตามลักษณะงานข้างต้นแล้ว จะเห็นว่าต้องทางานในสถานที่และลักษณะต่างๆกัน เช่น ทาบนที่สูง ทาในอาคารและนอกอาคาร ดังนั้น ผู้ที่จะทางานประเภทนี้ จึงควรอาศัยคุณสมบัติหลายๆประการ เช่น เป็นคนอดทน แข็งแรง สุขภาพดี ทางานปราณีต และแม่นยา
3.1 ประเภทของงานช่างไม้
พอจะจาแนกตามลักษณะงานได้ดังนี้
ก. ช่างไม้ปลูกสร้าง เรียนหนักไปทางการก่อสร้างอาคาร การอ่านแบบ การแยกวัสดุรายการและอุปกรณ์ ตลอดจนขั้นในการดาเนินงาน งานประเภทนี้ไม่ปราณีตเรียบร้อยนัก แต่ต้องมีความเข้าใจลักษณะของงาน
ข. ช่างไม้ครุภัณฑ์ เรียนเกี่ยวกับการเขียนแบบและอ่านแบบครุภัณฑ์ แบบเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ การแต่งไม้ เข้าเดือย การต่อไม้ เพลาะไม้ เจาะไม้ การใช้และเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมซึ่งใช้ร่วมกับไม้ เช่น กุญแจ บานพับ บานเลื่อน บานกระจก
ค. ช่างไม้แบบ เรียนเกี่ยวกับการทาแบบหล่อโลหะ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ช่างไม้ประเภทนี้ต้องเป็นคนละเอียด และทางานปราณีตเรียบร้อย เข้าใจเรื่องการหดตัวขยายตัวของวัสดุแต่ละชนิด เข้าใจแบบอย่างถ่องแท้จึงจะทางานได้ดี
ง. ช่างไม้แกะสลัก ทาลวดลายต่างๆบนไม้ เรียนการวาดเขียน วาดลวดลายต่างๆได้ รู้จักใช้เครื่องมือในการแกะสลัก
3.2 ลักษณะและธรรมชาติของไม้
ต้นไม้ทุกชนิดที่เราพบเห็นลาต้นใหญ่โต มีกิ่งก้านสาขามากมายนั้น เมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆเป็น
74 งานไม้
เพียงต้นเล็กๆที่อ่อนนุ่ม ก่อนจะเจริญงอกงามแตกกิ่งก้านสาขาออกไป เป็นลาต้นใหญ่ๆก็ใช้เวลา
หลายสิบปี การเติบโตของต้นไม้จะเติบโตขึ้นโดยมีเนื้องอกเพิ่มขึ้นโดยรอบลาต้นอ่อนที่เกิดมาแต่
เดิมเป็นชั้นๆ หรืองอกเป็นวงซ้อนกันออกไปเรื่อยๆ ในปีหนึ่งๆต้นไม้จะมีโอกาสโตขึ้นได้ชั่วฤดูหนึ่ง เท่านั้น สิ้นฤดูแล้วไม้จะไม่เจริญเติบโตต่อไปอีก ดังนั้น เมื่อเราตัดต้นไม้ออกเป็นแว่น จะเห็นรอยเป็นวงๆซ้อนกันอยู่มากมาย ชิดกันบ้าง ห่างกันบ้าง วงเหล่านี้คือรอยที่แสดงการขยายตัวโตขึ้นในฤดูหนึ่งๆ ดัง

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

ในปีหนึ่งๆ ไม้จะโตมากน้อยเพียงใด สังเกตได้จากวงปี คือถ้าโตเร็ววงจะซ้อนกันห่างๆ แต่ถ้าโตช้าวงจะซ้อนกันชิดมาก ไม้ที่มีการเจริญเติบโตสม่าเสมอนั้น จะมีความแข็งแรงดีกว่าไม้ที่โตเร็วกว่าธรรมดา เพราะไม้ที่โตเร็วกว่านั้นเนื้อจะอ่อน ไม่แข็งแรง แต่ถ้าไม้โตช้า เนื้อไม้มักแข็งแรงมาก เปราะ และหักง่าย บางครั้งเราสามารถคาดคะเนอายุของต้นไม้ได้จากการนับวงเหล่านี้ คือ ถือว่าในปีหนึ่งต้นไม้จะงอกออกไปได้เพียงวงเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่สม่าเสมอและแน่นอนนัก เพียงแต่เป็นการคาดคะเนคร่าวๆเท่านั้น

3.3 วิธีกานต้นไม้หรือโค่นไม้
วิธีกาน คือการเอาขวานถากเปลือกบริเวณโคนต้นออก ถ้าถากลึกจนถึงเนื้อไม้ที่เป็นส่วนส่งอาหารเลี้ยงลาต้น ต้นไม้นั้นก็ตายลงเอง ซึ่งเราเรียกว่า ยืนตาย โดยมากจะกานทิ้งไว้ 1 ปี เพื่อให้ต้นไม้แห้งสนิทก่อนโค่น การโค่นลงทันทีในเวลาที่ต้องการนั้น จะได้ไม้ที่ไม่แห้งดีเหมือนไม้กาน ถ้าจาเป็นต้องโค่นไม้สดหรือไม้ดิบ เมื่อโค่นแล้วต้องรีบจัดการปอกเปลือกออกทันทีเพื่อให้ไม้แห้งเร็ว และควรทิ้งไว้ในที่แจ้งเพื่อให้ได้รับลม หรือรีบเอาจมน้าเสียก่อนที่ยางไม้จะแข็งตัว การโค่นไม้เป็นงานที่สาคัญมาก ต้องพิจารณาดูทาเลให้ดี การที่ไม้ฟาดลงโดยแรง จะทาให้ไม้นั้นเสีย เช่น แตกร้าว ฉีก หรือถูกไม้อื่นๆข้างเคียงพลอยเสียไปด้วย หรืออาจเกิดอันตรายแก่ผู้ทาการโค่น การโค่นต้องพิจารณาดูว่าจะให้ไม้ล้มไปทางใดจึงจะเหมาะ เพื่อช่วยลดความแรงในการฟาดลง เช่น ล้มไปทางเนินหรือเขา การโค่นไม้ใช้ขวานฟันทางด้านที่จะให้ล้มประมาณครึ่งต้น แล้วใช้เลื่อยๆลัดหลัง การที่ทาเช่นนี้ก็เพื่อต้องการให้ไม้ล้มไปทางรอยขวาน ส่วนตอที่เหลือไม่ควรเกิน 2 ศอกไม่ควรเหลือไว้มากเพราะจะทาให้เสียเนื้อไม้

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

3.4 การจักไม้และการผึ่งไม้
สาหรับวิธีจักซุงออกเป็นตัวไม้ ทาได้โดยการเลื่อยออกเป็นแผ่นๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันโดยมาก ไม่ว่าเลื่อยเครื่องจักรหรือเลื่อยมือก็ตาม การเลื่อยโดยวิธีนี้ ขั้นแรกให้เลื่อยตัดส่วนโค้งของไม้ออกเสียก่อนให้เป็นท่อนซุงสี่เหลี่ยม มีขนาดหัวซุงและปลายซุงเท่ากัน เรียกว่า การลอกปีกซุง แล้วจึงทาการโกรกออกเป็นแผ่นๆขนานไปตามความยาวของซุง เมื่อเลื่อยออกเป็นแผ่นใหญ่ๆแล้วจึงนามาเลื่อยออกเป็นไม้ขนาดต่างๆตามความต้องการ
หลังจากทาการแปรรูปไม้แล้ว ต้องนามาผึ่งให้แห้ง การผึ่งไม้เป็นการทาให้ยางในเนื้อไม้

แห้ง หรือหมดไป เป็นการป้องกันไม้ไม่ให้หดตัว และป้องกันการแตกร้าว การผึ่งไม้เป็นความประ
สงค์ที่จะได้ไม้ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งาน หรือได้ไม้ที่มีคุณสมบัติที่ดีเท่าที่ควรเป็น
เมื่อต้นไม้ถูกโค่นลง ยางไม้ซึ่งเป็นโลหิตหล่อเลี้ยงความเจริญจะค่อยๆแห้งลงพร้อมกับการยุบตัวลงทีละน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม้จะหดตัวและมีน้าหนักเบาลง การหดตัวของไม้แต่ละชนิดย่อมไม่เหมือนกัน เช่น ไม้สักมีการหดตัวน้อย ไม้ยางหดตัวมาก วิธีผึ่งไม้ตามธรรมดาที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไปนั้น ได้แก่ การผึ่งลม วิธีนี้นิยมทากันมาก เพราะทาได้ง่าย และไม่เป็นการสิ้นเปลืองมากนัก การผึ่งชนิดนี้เป็นการทาให้ไม้ค่อยๆแห้งลงทีละน้อย ไม้จึงไม่เปราะ หรือแตกร้าว บิด งอ

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

3.5 การจาแนกประเภทของไม้
ไม้จาแนกแบ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน (softwood) ซึ่งปกติจะเป็นไม้ใบแคบและไม้เนื้อแข็ง (hardwood) ซึ่งเป็นไม้จากต้นไม้ใบกว้างอย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงแยกประเภทของไม้ตามหนังสือของกรมป่าไม้ที่ กส.0702/6679 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2517 ดังนี้คือ ให้แบ่งไม้ออกเป็น 3 ประเภท โดยถือเอาค่าความแข็งแรงในการดัดของไม้แข็งและความทนทานตามธรรมชาติของไม้ นั้นๆ เป็นเกณฑ์ตามตาราง ดังนี้

ความแข็งแรงของไม้และความต้านทานของไม้
ประเภทไม้
ความแข็งแรง (kg.cm 2 )
ความทนทาน ( ปี )
ไม้เนื้อแข็ง
> 1000
> 10
ไม้เนื้อแข็งปานกลาง
600 – 1000
2 – 10
ไม้เนื้ออ่อน
< 600
< 2
3.5.1 ไม้เนื้อแข็ง ไม้เต็ง เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ตามป่าแดดทั่วไปยกเว้นภาคใต้ลักษณะเนื้อไม้เป็นสีน้าตาลอ่อน เมื่อแรกตัดทิ้งไว้นานจะเป็นสีน้าตาลแก่แกมแดง เสี้ยนสับสน เนื้อหยาบแต่สม่าเสมอแข็งเหนียวแข็งแรงและทนทานมากแห้งแล้วเลื่อยไสกบตกแต่ง ได้ยาก น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1,040 กิโลกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาหมอนรางรถไฟเครื่องมือกสิกรรมโครงสร้างอาคาร เช่น ตง คาน วงกบ ประตูหน้าต่าง โครงหลังคา เสา
ไม้รัง เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ตามในป่าแดดทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้มีสีน้าตาลอมเหลือง เสี้ยนสับสน เนื้อหยาบแต่สม่าเสมอ แข็ง หนัก แข็งแรง และทนทานมาก เลื่อยไสกบตกแต่งค่อนข้างยากเมื่อแห้งจะมีลักษณะคุณสมบัติคล้ายไม้เต็งจึงใน บางครั้งเรียกว่าไม้เต็งรังน้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาเสาและโครงสร้างอาคารต่างๆ ทาหมอนรางรถไฟ ทาเครื่องมือกสิกรรม
ไม้แดง เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณแล้งและชื้น ลักษณะของเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อๆ หรือ สีน้าตาลอมแดง เสี้ยนเป็นลูกคลื่นหรือสับสน เนื้อละเอียดพอประมาณ แข็ง เหนียวแข็งแรงและทนทาน เลื่อยใสกบแต่งได้เรียบร้อยขัดชักเงาได้ดีน้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 960 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรไม้นี้นิยมในการก่อสร้างในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง เช่น พื้น วงกบประตูหน้าต่าง ทาเกวียน ทาเรือหนอนรางรถไฟ เครื่องเรือน เครื่องมือกสิกรรม ด้านเครื่องมือ คันชั่ง ไม้แดงนี้ปลวกหรือเพรียงจะไม่ค่อยรบกวน และเป็นไม้ที่ต้านทานไฟในตัวด้วย ไม้ แดง เป็นไม้ที่มีความแข็งมาก ทาให้เวลาเกิดความชื้นหรือร้อน และขยายตัว จะดันจนกาแพงแตกได้ (กรณีเป็นพื้น) หรือ หากไปตีชิด ทาฝ้าเพดาน (ชายคา) ด้านนอกบ้าน ก็จะดันจน เครื่องหลังคา มีปัญหาง่าย ต่างกับไม้สักหรือมะค่า ที่อ่อน/แข็ง แต่ยืดหดตัวน้อยกว่าครับ ยิ่งถ้าเป็น ตะเคียนทองแท้ (ต้องมีรอยมอดป่า) การยืดหดค่อนข้างน้อยมาก ครับ เอาไปทาวงกบละก็ ดีมากเลย
ไม้ตะเคียนทอง เป็นต้นไม้ใหญ่และสูงมากขึ้นเป็นหมู่ตามป่าดิบชื้นทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้มีสี เหลืองหม่นสีน้าตาลอมเหลืองมักมีเส้นสีขาวหรือเทาขาวผ่านเสมอ สีที่ผ่านนี้เป็นท่อน้ามันหรือยาง เสี้ยนมักสับสนเนื้อละเอียดปานกลางแข็ง เหนียว ทนทาน ทนปลวกได้ดี เมื่อนาไปเลื่อย ใสกบตกแต่งและชักเงาได้ดีมาก

น้าหนักโดยเฉลี่ย 750 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ในการก่อสร้างอาคาร ไม้หมอนรางรถไฟ ไม้ชนิดนี้นิยมใช้ทาเรือมาก และยังใช้การได้ดีทุกอย่างที่ต้องการความแข็งแรง เหนียวและทนทาน
ไม้ตะแบก เป็นต้นไม้สูงใหญ่ตอนโคนมีลักษณะเป็นพู ขึ้นในป่าเบญจพรรณชื้นและแล้งทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้สีเทาจนถึงสีน้าตาลอมเทา เสี้ยนตรงหรือเกือบตรง เนื้อละเอียดปานกลาง เป็นมัน แข็งเหนียว แข็งแรงทนทานดีถ้าใช้ในร่มไม้ตากแดดตกฝนใช้ทาเสาบ้าน ทาเรือ แพ เกวียน เครื่องกสิกรรม ไม้ตะแบกชนิดลายใช้ทาเครื่องเรือนได้สวยงามมาก ใช้ทาด้ามมีด ไม้ถือ กรอบรูป ด้ามปืน เป็นต้น ไม้สัก เป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเนื้อไม้ เนื้อไม้มีสีเหลืองทอง นานเข้ากลายเป็นสีน้าตาลหรือน้าตาลแก่ มีกลิ่นหอม มีน้ามันในตัว และมีเส้นสีแก่แทรก เสี้ยนตรง เนื้อหยาบไม่สม่าเสมอ แข็งแรงทนทานพอประมาณ กราแดดกราฝน ไม่ผุง่าย หดตัวน้อย ไม่มีการบิดตัวหรือแตกร้าว มอด ปลวกและตัวโรคไม่ค่อยรบกวน เมื่อเลื่อยออกจะเห็นตัวไม้ชัดเจน เลื่อยผ่าไสกบตกแต่งได้ง่าย เป็นไม้ที่ผึ่งได้แห้งเร็ว
เป็นที่นิยมมากในการทาเครื่องเรือนทาบานประตูหน้าต่าง ทาเรือ แกะสลักต่างๆ ไม้สักเป็นไม้ที่เป็นสินค้าขาออกและเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศมาก ไม้สักที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่ที่บ้านปางเกลือ ตาบลน้าไคร้ อาเภอน้าปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความสูง 51 เมตร วัดรอบต้นได้ 10.58 เมตร ใช้คนกางแขนโอบรอบต้นได้ไม่น้อยกว่า 8 คน กรมป่าไม้ได้ประมาณอายุต้นสักนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1,500 ปี
ไม้ชัก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นตามป่าดิบและป่าเบญจพรรณขึ้นทั่วประเทศเว้นแต่ทางภาค เหนือ ลักษณะเนื้อไม้สีน้าตาลอ่อนถึงแก่เสี้ยนตรงพอประมาณเนื้อหยาบและสับสน แข็งพอประมาณเหนียวทนทานนาไปเลื่อย ไสกบตบแต่งได้ยาก บางครั้งเรียกว่า เต็งดง น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 961 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาหมอนรองรถไฟ ใช้ก่อสร้าง เช่น ทาโครงสร้าง ตง คาน โครงหลังคา พื้น
ไม้เคี่ยม เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงตรง ขึ้นชุกชุมในป่าดิบชื้นทางภาคใต้บางแห่งใหญ่ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ถึง 3 เมตร ลักษณะเนื้อไม้สีน้าตาลหรือสีน้าตาลอ่อน ทิ้งไว้นานเป็นสีน้าตาลแก่หรือเกือบดา เสี้ยนค่อนข้างสั้น เนื้อละเอียดแข็ง เหนียว หนัก แข็งแรงมาก ใช้ในน้าได้ทนทานดี นาไปเลื่อยไสกบตบแต่งได้ค่อนข้างง่ายน้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 800 – 990 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรใช้ทาหมอนรางรถไฟโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงมากสะพาน แพ พื้น ใช้ในที่แจ้งทนแดดทนฝนดีมาก
ไม้มะค่าแต้ เป็น ต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดสูงใหญ่ขึ้นประปรายในป่าแดงและป่าเบญจพรรณแล้วทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้สีน้าตาลอ่อนถึงสีน้าตาลแก่ เลื่อยทิ้งไว้นานสีจะเข้มขึ้น มีเส้นเสี้ยน ผ่านซึ่งมีสีแก่กว่าสี้พื้นเสี้ยนสับสนเนื้อค่อนข้างหยาบแต่สม่าเสมอเป็นมัน เลื่อม แข็งและทนทานมากทนมอดปลวกได้ดี เลื่อยใสกบตกแต่งได้ยาก ถ้าตอกตะปูลงในแก่นไม้จะตอกไม้ยากและตะปูมักคดงอเพราะความแข็งแรงของไม้

น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1,090 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ในการก่อสร้างต่าง ๆ ทาไม้หมอนรางรถไฟทาเครื่องเกวียน เครื่องไถนา เครื่องเรียน เป็นต้น
ไม้ประดู่ เป็นไม้ต้นสูงใหญ่ ขึ้นในเบญจพรรณชื้นและ แล้งทั่วไปเว้นแต่ทางภาคใต้ มีชุกชุมทางภาคเหนือและภาคอีสาน ลักษณะเนื้อไม้สีแดงอมเหลืองถึงสีแดงอย่างสี อิฐแก่ สีเส้นเสี้ยนแก่กว่าสีพื้นบางทีมีลวดลาย สวยงามมาก เสี้ยนสับสนเป็นริ้ว เนื้อละเอียดปานกลาง แข็งและทนทาน ไสกบตบแต่งได้ดีและชักเงาได้ดีน้าหนักโดยเฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ในการก่อสร้าง ทาเกวียนเรื่องเรือนที่สวยงามทาจากปุ่มประดู่ทาด้ามเครื่องมือและสิ่งอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน ในประเทศจีนและญี่ปุ่นนิยมใช้ทาเครื่องเรือนกันมาก ไม้ ประดู่ ส่วนใหญ่คือ ประดู่แดง หรือ ประดู่เหลือง ความแข็งใกล้เคียงกับไม้แดง แต่ยืดหดน้อยกว่า (ถามจากช่างไม้ และช่างทาวงกบมาหลายราย) แต่คนไม่ค่อยชอบ เพราะ สีบางครั้งออกเป็นจ้าๆ (ไม่สวยเหมือนมะค่า) แต่ก็ไม่เรียบร้อย เหมือน ไม้แดง ตอนแรกๆ ก็เลยไม่เป็นที่นิยมกัน
3.5.2 ไม้เนื้อแข็งปานกลาง
ไม้ยาง เป็น ต้นไม้สูงใหญ่ สูงชลูด ไม่มีกิ่งที่ลาต้น มักขึ้นเป็นหมู่ในป่าดิบชื้น และที่ต่าชุ่มชื้นตามบริเวณใกล้เคียงแม่น้าลาธารในป่าดิบและป่าอื่นๆ ทั่วไป บางชนิดสามารถเผาเอาน้ามันยางได้ (แต่เป็นคนละชนิดกับต้นยางพารา) ลักษณะเนื้อไม้สีแดงเรื่อหรือสีน้าตาลหม่นเสี้ยนมักตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลางใช้ในร่มทนทานดีเลื่อยไสกบตกแต่งได้ดีน้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 650 – 720 กิโลเมตรต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป ทาหีบ ที่นิยมใช้กันมากคือใช้เป็นไม้ฝา ไม่คร่าว ฝ้าเพดาน คร่าวฝา
ไม้กระบากหรือไม้กะบาก เป็นต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นปะปรายในป่าดิบชื้นและป่าเบญจพรรณชื้นทั่วประเทศ ทางพฤกษศาสตร์จะมีอยู่หลายชนิด แต่ในส่วนเนื้อไม้และการใช้มีลักษณะคล้ายคลึงมากใช้ร่วมกันได้ดีลักษณะเนื้อ ไม้โดยรวมมีสีตั้งแต่นวลเหลืองถึงน้าตาลอ่อนแกมแดงเรื่อๆ เสี้ยนมักตรงเนื้อหยาบแต่สม่าเสมอ แข็ง เหนียว เด้งพอประมาณ เลื่อยไสกบตกแต่งได้ไม่ยาก แต่มีข้อเสียคือเนื้อเป็นทรายทาให้กัดคมเครื่องมือ ผึ่งแห้งง่ายและไม่ค่อยเสื่อมเสีย น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 600 กิโลเมตรต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาแบบหล่อคอนกรีตได้ดีเพราะถูกน้าแล้วไม่บิดงอหรือโค้ง ทาเครื่องเรือนราคาถูก ทากล่องใส่ของเก้าอี้
ไม้ซุมแพรก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นประปรายตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออก เช่นทางอาเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรี และในภาคกลางบางแห่ง ลักษณะเนื้อไม้เมื่อเลื่อยหรือตัดใหม่ๆ จะเป็นสีแดงเข้มเมื่อทิ้งไว้ถูกอากาศจะเป็นสีน้าตาลอมแดงเป็นมันเลื่อม เสี้ยนมักตรงและสม่าเสมอ เป็นริ้วห่างๆ เหนียวแข็ง ใช้ในร่มทนทานดี เลื่อยใสกบตกแต่งได้ง่าย ชักเงาได้ดี น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 640 กิโลเมตรต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ก่อสร้าง เช่น ทาฟื้น ฝา

ไม้นนทรี เป็น ต้นไม้ขนาดกลาง ขึ้นในป่าดิบชื้นและป่าโป่รงชื้น ลักษณะไม้สีชมพูอ่อน ถึงน้าตาลแกมชมพู เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรงหรือเป็นลูกคลื่น หรือสับสนบ้างเล็กน้อย เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อนผ่าไสกบตกแต่งได้ง่ายๆ น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 575 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาไม้พื้นเพดานและฝา ทาเครื่องเรือน หีบใส่ของต่างๆ
ไม้มะม่วงป่า เป็นต้นไม้ใหญ่ ขึ้นห่างๆกันในป่าดิบชื้นและป่าเบญจพรรณ หรือตามที่ชุมชื้นทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้ไม่มีแก่นมากนัก สีน้าตาลไหม้ เสี้ยนค้อนข้างตรง เนื้อเป็นมันเล็กน้อย แข็งเหนียว ใช้ในร่มทนทานดีเลื่อมใสกบง่ายน้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 600 กิโลเมตรต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาเครื่องเรือน หีบใส่ของ ไม้บรรทัด ปอกออกมาเป็นแผ่นบางๆ ใช้ทาไม้อัด
ไม้กระท้อน เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นตามป่าดิบชื้นทั่วประเทศ ลักษณะเนื้อไม้สีแดงเรื่อๆ ปนเทา เสี้ยนไม้ตรง เนื้อค่อนข้างหยาบ แข็งแรงปานกลาง ใช้ในร่มทนทานพอสมควร เลื่อนไสกบตบแต่งได้ง่ายขัดและชักเงาได้ ผึ่งให้แห้งได้ง่าย แต่หดตัวมาก ใช้ทาพื้น เพดาน เครื่องเรือน
3.5.3 ไม้เนื้ออ่อน
ไม้สยาขาว เป็น ต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นตามไหล่เขา และบนเขาในป่าดิบทางภาคใต้บางจังหวัด เช่น ยะลา นราธิวาส ลักษณะเนื้อไม้สีชมพูอ่อนแกมขาวถึงน้าตาลอ่อนแกมแดง มีริ้วสีแก่กว่าสีพื้นเป็นมันเลื่อมเสี้ยนสับสนเนื้อหยาบอ่อน ค่อนข้างเหนียว ทนทานในร่ม เลื่อย ไส ผ่าได้ง่าย น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 480 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาเครื่องเรือนและส่วนของอาคารที่อยู่ในร่ม เปลือกใช้ทาไม้อัดได้
ไม้ก้านเหลือง เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ขึ้นตามริมน้าแม่น้าลาธารหรือในที่ชุ่มชื้นทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้สีเหลือง เข้มถึงสีเหลืองปนแสด เสี้ยนตรงละเอียดพอประมาณ และอ่อน นาไปเลื่อยไสกบได้ง่ายชักเงาได้ดี น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 540 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาพื้น ฝา เครื่องเรือน หีบใส่ของ
ไม้มะยมป่า เป็น ไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ขึ้นประปรายในป่าดิบชื้นหรือป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไป ลักษณะเนื้อไม้ไม่มีแก่นสีจางถ้าถูกอากาศนานๆ สีจะนวลขึ้น เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แต่สม่าเสมอและอ่อนไสกับได้ง่าย น้าหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 400 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใช้ทาก้านไม้ขีดไฟ กลักไม้ ขีดไฟ หีบใส่ของ ปัจจุบันใช้ทาเครื่องเรือนต่างๆ
ไม้ต้นมะพร้าว เนื้อมีความหนาแน่นใช้เป็นโครงสร้างได้ ความหนาแน่นตรงริมมีมากกว่าตรงกลางต้นตอนกลางๆ มีความหนาแน่น 400 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ตอนริมมีความหนาแน่นถึง 600 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

3.6 ตาหนิของไม้ (Defects in wood)
ตาหนิของเนื้อไม้เกิดจากสาเหตุ 4 ประการ คือ
1. ตาหนิเกิดจากธรรมชาติ
2. ตาหนิเกิดจากตาไม้
3. ตาหนิเกิดจากการสูญเสียความชื้น
4. ตาหนิเกิดจากการใช้เครื่องมือกล
3.6.1 ตาหนิเกิดจากธรรมชาติ(Natural defects)
ตาหนิเกิดจากธรรมชาติ มีหลายลักษณะด้วยกัน พอจะแบ่งได้ดังนี้
3.6.1.1 เสี้ยนขวาง (Cross Grain) เป็นตาหนิเนื่องจากมีเสี้ยนบิดเป็นเกลียว เมื่อปอกเปลือกออกจะเห็นได้อย่างชัดเจน รอยบิดเป็นเกลียวจะแตกเป็นแนวขนานกับเสี้ยนไม้ เมื่อแปรรูปไม้จะพบว่า อาการบิดเช่นนั้นทาให้เกิดเสี้ยนขวางได้
3.6.1.2 เสี้ยนทะแยง (Diagonal Grain) เป็นตาหนิเกิดจากการเลื่อยไม้ซุงให้เป็นแผ่นผ่าให้ขนานกับไส้ไม้ หรือขนานกับเปลือก เมื่อแปรรูปออกเป็นแผ่น ไม้บางแผ่นซึ่งอยู่ตรงกับการเรียงของเสี้ยนก็จะเกิดเสี้ยนขวางขึ้น สาหรับไม้ที่มีเสี้ยนสน เสี้ยนบิด เป็นลักษณะประจาของไม้อยู่แล้ว หากมีการแปรรูปออกเป็นแผ่น ไม้แผ่นก็จะมีเสี้ยนบิดและเสี้ยนขวาง
3.6.2 ตาหนิเกิดจากตาไม้ (Knost defect)
เกิดจากส่วนกิ่งที่เจริญเติบโตทางส่วนสูงพร้อมๆกับลาต้นในระยะกิ่งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อกิ่งตายก็จะ
หลุดร่วง แต่บางส่วนที่ยังติดอยู่กับต้นไม้ นานหลายปีเข้า เนื้อไม้จะหุ้มส่วนที่ตายไปแล้ว แต่ไม่ประสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ เมื่อแปรรูปไม้ออกเป็นแผ่นจะเห็นได้ชัดเจน
3.6.3 ตาหนิเกิดจากการสูญเสียความชื้น(Seasoning or Drying defects)
ตาหนิเกิดจากการสูญเสียความชื้นในเนื้อไม้ที่ถูกโค่นลง ไม้ที่ถูกตัดลงในที่แจ้งถูกแดดเผา เนื้อไม้จะแห้งและเกิดจุดแห้งขึ้น เมื่อไม้ถูกแปรรูปออกเป็นแผ่นจะเห็นรอยผุได้ชัดเจน ตาหนิที่เกิดจากการสูญเสียความชื้นนี้ ยังทาให้เกิดตาหนิในลักษณะต่างๆกัน เช่น รอยร้าว รอยปริ รอยแตก เป็นต้น

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

3.6.4 ตาหนิที่เกิดจากการใช้เครื่องมือกล (Machine defects)
ตาหนิเกิดจากการใช้เครื่องมือกล ได้แก่ การแปรรูป การไสกบ ตกแต่ง ก่อนที่จะนาไปใช้
ประโยชน์ บางครั้งทาให้เกิดตาหนิขึ้นได้ คือ
3.6.4.1 Raised Grain คือลักษณะของเสี้ยนไม้โผล่ขึ้น เมื่อนาไปไสโดยที่ไม้นั้นมีความชื้น ทาให้ผิวไม้เกิดเป็นขุยเสี้ยนโผล่ขึ้นมา
3.6.4.2 Loosened Grain คือลักษณะเสี้ยนหลุดออกไปเนื่องจากเครื่องมือกล เช่น กบที่มีใบมีดทื่อ ทาให้ผิวบางตอนเกิดเสี้ยนหลุดออก หรือฉีกขาดออกไป
3.6.4.3 Fuzzy Grain ลักษณะที่เกิดจากการไสด้วยกบ เครื่องมือที่มีใบมีดทื่อ ทาให้กลุ่มเสี้ยนหลุดออกมา
83 งานไม้
3.6.4.4 Trow Grain คือลักษณะตาหนิอันเนื่องมาจาการไสด้วยเครื่องและไม้มีความชื้น จึงทาให้ผิวของไม้เกิดเป็นเสี้ยนหนามขึ้น
3.7 การวัดและการออกแบบ
3.7.1 การวัดความยาว
หน่วยการวัดความยาวที่นิยมใช้กันในประเทศไทย
หน่วยการวัดความยาวในระบบอังกฤษ
12 นิ้ว เท่ากับ 1 ฟุต
3 ฟุต เท่ากับ 1 หลา
1,760 หลา เท่ากับ 1 ไมล์
หน่วยการวัดความยาวในระบบเมตริก
10 มิลลิเมตร เท่ากับ 1 เซนติเมตร
100 เซนติเมตร เท่ากับ 1 เมตร
1,000 เมตร เท่ากับ 1 กิโลเมตร
หน่วยการวัดความยาวในมาตรไทย
12 นิ้ว เท่ากับ 1 คืบ
2 คืบ เท่ากับ 1 ศอก
4 ศอก เท่ากับ 1 วา
20 วา เท่ากับ 1 เส้น
400 เส้น เท่ากับ 1 โยชน์
กาหนดการเทียบ 1 วา เท่ากับ 2 เมตร
การศึกษาระบบการวัด ไม่ว่าจะเป็นการวัดความยาว น้าหนัก ปริมาตร หรืออุณหภูมิ จึงควรศึกษาเปรียบเทียบกัน เช่น
- เมตร (Metre) เป็นหน่วยของความยาว ที่ยาวกว่า 1 หลา (Yard) เล็กน้อย (ประมาณ 39.37 นิ้ว)
- กิโลกรัม (Kilogram) เป็นหน่วยวัดน้าหนัก (Mass) มากกว่า 2 ปอนด์เล็กน้อย (ค่าจริง 2.2 ปอนด์)
- ลิตร (Litre) เป็นหน่วยที่ใช้วัดความจุของเหลว หรือปริมาตรมากกว่า 1 ควอท (Quart) เล็กน้อย (ประมาณ 1,06 ควอท)
- องศาเซลเซียส (Degree celsius) เป็นหน่วยวัดอุณหภูมิ บนมาตราส่วนนี้ มีจุดเยือกแข็งอยู่ที่ 0 C และจุดเดือดอยู่ที่ 100 C ส่วนองศาฟาเรนไฮต์ (Degree fahrenheit) ทาเป็นองศาเซลเซียสได้โดยลบออก 32F และหารด้วย 1.8
84 งานไม้
3.7.2 การออกแบบ
การออกแบบ (Design) ในงานไม้ คือการตัดสินใจที่จะเลือกสาหรับชิ้นงาน เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของผู้ผลิตที่ได้ตั้งไว้ การออกแบบก็เพื่อ ให้ชิ้นงานที่ออกมาสวยงาม มีประโยชน์ และมีประสิทธิภาพในการทางานอย่างเต็มที่ การออกแบบงานไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายและควรอาศัยดูจากนิตยสาร หรือหนังสือต่างๆ ที่จะช่วยได้มากขึ้น จนมีความชานาญในการตัดสินใจตัวอย่างเช่น การออกแบบตู้เครื่องเสียง เป็นการออกแบบจากการใช้ความแตกต่างของช่องว่างให้เหมาะสม ซึ่งจะได้ทั้งความสวยงามและประโยชน์อย่างเต็มที่

องค์ประกอบในการออกแบบ
การออกแบบเป็นการสร้างส่วนประกอบที่ แน่นอน โดยนามาประกอบกันจนเกิดเป็นรูปร่างหรือชิ้นงานขึ้นมา การสร้างส่วนประกอบต้องอาศัยสิ่งต่อไปนี้
เส้น (Line) เส้นสามารถบอกความรู้สึกได้ เช่นเส้นตามแนวขวางดูสงบเงียบ เส้นตั้งให้ความรู้สึกมีอานาจ และเส้นเอียงดูเหมือนกับความก้าวร้าว เส้นแบบคลื่นสร้างความเคลื่อนไหวและมีจังหวะ
รูปร่าง (Shape) เป็นช่องล้อมรอบด้วยเส้น อาจเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปหกเหลี่ยม และรูปแปดเหลี่ยม
แบบ (Form) เป็นส่วนประกอบที่นามาใช้ทาแบบ เช่น สี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ปิรามิด หรือวงรี ซึ่งสามารถมองเห็นเป็น 3 มิติ (Three-dimensional) หมายถึง ความสูง ความกว้าง และความลึก
สี (Color) มีความสาคัญในการให้ความรู้สึก สีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคือ สีแดง เหลือง และส้ม สีที่ให้ความรู้สึกเย็น เช่น สีเขียวและสีน้าเงิน สีของไม้ถือว่าเป็นสีธรรมชาติที่ให้ความสวยงาม ซึ่งอาจไม่ต้องใช้สีช่วย แต่ไม้บางชนิดสีไม่สวยงามก็จะใช้สีย้อมสี หรือทาเคลือบ นอกจากนี้การทาสีให้เกิดความเงางามจะช่วยทาให้ชิ้นงานดูมีค่าและสวยงามมากขึ้น
3.8 วัสดุในงานไม้
การได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ จะช่วยให้ได้งานออกมาสวยงาม มีคุณภาพ การซื้อวัสดุดีๆ จากโรงงานจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย วัสดุที่ได้ก็ไม่ด้อยคุณภาพ วัสดุของงานไม้ที่นิยมใช้กันได้แก่
3.8.1 ไม้แปรรูป (Lumber)
ไม้แปรรูป ได้จากการตัดต้นไม้แล้วนามาแปรรูปเพื่อนาไปใช้งาน แผ่นไม้แปรรูป คือส่วนที่ตัดจากไม้ซุงตามยาวจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เมื่อต้นไม้ถูกตัด เนื้อไม้จะเต็มไปด้วยความชื้น จะต้องทาการ

ตากจนแห้งเสียก่อน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าไม้แปรรูปตากแห้ง (Air-Dried :AD) การจาหน่ายไม้แปรรูป ส่วนใหญ่จะต้องมีค่าความชื้นของไม้ไม่เกิน 19% ถ้าเกิน 19% ต้องถูกทาให้แห้งด้วยการอบแบบพิเศษ เรียกว่า คินน์ (Kilns) ไม้แปรรูปโดยทั่วไปจะต้องแห้งก่อนนาไปใช้
ในการซื้อขายไม้แปรรูปในปัจจุบันนั้น ราคาที่กาหนดจะมีทั้งลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟุต-คิวบิทฟุต-F3) และลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม - คิวบิทเมตร- M3)
-การซื้อขายไม้แปรรูป(ไม้สัก) จะขายโดยใช้หน่วยเป็น ลบ.ฟุต และมีการกาหนดขนาดไม้เป็น นิ้ว(หนา)xนิ้ว(กว้าง)xฟุต (ยาว)
-การซื้อขายไม้เนื้อแข็งทั่วไป จะใช้หน่วยซื้อขายเป็น ลบ.ม และมีการกาหนาดเป็น นิ้ว(หนา)xนิ้ว(กว้าง)xเมตร(ยาว)
แต่ในปัจจุบันนั้น ราคาไม้เริ่มมีราคาสูงขึ้น การกาหนดปริมาตรไม้จึงหันมาใช้เป็น ลบ.ฟุตกันมากขึ้น แทบจะทุกชนิดไม้ก็ว่าได้
ตัวอย่างการหาปริมาตรไม้สัก เป็น ลบ.ฟุต (หน้าไม้ นิ้วxนิ้วxฟุต)
หมายเหตุ : นิ้ว มักเขียนแทนด้วย " :ฟุต มักเขียนแทนด้วย '
12" = 1' หรือ 1" = 1/12' นั่นเอง
กาหนด จงหาราคาไม้สัก ขนาด 1นิ้ว x 4นิ้ว x 3ฟุต กาหนดให้ราคาไม้ 2500 บาท ต่อ ลบ.ฟุต(คิวฟุต)
วิธีคิด หลักคิดคือทาให้ทุกด้านมีหน่วยเป็น ฟุตxฟุตxฟุต=ฟุต3 (คิวฟุต) เสียก่อน
= 1/12(แปลงเป็นฟุตโดยหาร12) x 4/12(แปลงเป็นฟุตโดยหาร12) x 3 (ไม่ต้องแปลง)
= 0.0833 ลบ.ฟุต (คิวฟุต) x 2500บาท(ราคาต่อคิวฟุต)
= 208.25 บาท (ราคาไม้ท่อนนี้)
หากมีจานวนท่อนเท่าใดก็คูณหาราคารวมได้เลย ไม้สักนั้นการกาหนดราคาจะดูที่หน้าไม้และความยาวเป็นหลัก ยิ่งหน้าไม้กว้างและยาวจะยิ่งมีราคาแพงขึ้น
ตัวอย่างการหาปริมาตรไม้เบญจพรรณ เป็น ลบ.ฟุต(หน้าไม้ นิ้วxนิ้วxเมตร)
วิธีคิด หลักคิดคือทาให้ทุกด้านมีหน่วยเป็น ฟุตxฟุตxฟุต=ฟุต3 (คิวฟุต) เสียก่อน

หมายเหตุ 1ม.=100ซม. : 2.54ซม.=1นิ้ว : 12นิ้ว = 1ฟุต
กาหนด จงหาราคาไม้เต็ง ขนาด 1นิ้วx4นิ้วx3.5 เมตร เมื่อไม้ราคา 750 บาทต่อ ลบ.ฟุต(คิวฟุต)
= 1/12(แปลงเป็นฟุตโดยหาร12) x 4/12(แปลงเป็นฟุตโดยหาร12) x 350ซม/2.54(เป็นนิ้ว)/12(เป็นฟุต)
= 0.319 ลบ.ฟุต (คิวฟุต) x 750บาท(ราคาต่อคิวฟุต)
= 239.28 บาท (ราคาไม้ท่อนนี้)
และเมื่อได้อธิบายให้เข้าใจถึงที่มาของการหาค่าแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนาค่าคงที่ที่หาได้มาคูณหรือหารขนาดไม้ได้ทันทีเลย เช่น
· ถ้ากาหนดหน้าไม้เป็น นิ้วxนิ้วxฟุต สามารถคูณด้วย ด้วยค่าคงที่ = 1/144 (หรือหาร144 นั่นเอง)
· ถ้ากาหนดหน้าไม้เป็น นิ้วxนิ้วxเมตร สามารถคูณด้วย ด้วยค่าคงที่ = 0.0228
เช่น ข้อ1 ไม้สัก ขนาด 1นิ้วx4นิ้วx3ฟุต = 1x4x3 / 144 = 0.0833 ลบ.ฟุต (คิวฟุต)
ข้อ2 ไม้เต็ง ขนาด 1นิ้วx4นิ้วx3.5 เมตร = 1x4x3.5x0.0228 = 0.319 ลบ.ฟุต (คิวฟุต)

3.8.2 ไม้อัด (Plywood)
ไม้อัด เกิดจากการรวมไม้หลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกันหรือทาจากไม้ชนิดเดียวกัน โดยการตัดท่อนซุงให้มีความยาวตามที่ต้องการ แล้วกลึงปอกท่อนซุง หรือฝานให้ได้แผ่นไม้เป็นแผ่นบาง ๆ มีความหนาตั้งแต่ 1 ถึง 4 มิลลิเมตร แล้วนามาอัดติดกันโดยใช้กาวเป็นตัวประสานโดยให้แต่ละแผ่นมีแนวเสี้ยน ตั้งฉากกัน แผ่นไม้จะถูกอบแห้งในเตาอบ ไม้อัดมีขนาด กว้าง 4 ฟุต ยาว 8 ฟุต หนา 4,6,8,10,15 และ 20 มิลลิเมตร
3.8.3 ไม้อัดแผ่นแข็ง (Hard board)
ไม้อัดแผ่นแข็ง ทามาจากการอัดแผ่นไม้เข้าไปในใยไม้โดยวิทยากรสมัยใหม่ ภายใต้ความร้อนและความดัน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดมาตรฐาน และชนิดใช้อุณหภูมิ โดยจะถูกจุ่มลงในน้ามันและอบแห้ง
ไม้อัดแผ่นแข็งบางชนิดผิวด้านหนึ่งจะมันลื่น ส่วนอีกด้านหนึ่งจะหยาบ ชนิดทั่วไปจะมีหน้าทั้ง 2 ด้านเป็นมันลื่น นิยมนาไม้อัดแผ่นแข็งมาเจาะรูติดผนัง เพื่อใช้แขวนเครื่องมืออุปกรณ์งานไม้และงานที่ต้องการอื่น ๆ
ขนาดมาตรฐานของไม้อัดแผ่นแข็งคือ ขนาด 4 x 6 ฟุต (หนา 1/8 นิ้ว) และขนาด 2 x 12 ฟุต (หนา ¼ นิ้ว)
3.8.4 พาติเกิลบอร์ด (Particle board ) (Particle board) เป็น แผ่นไม้สาหรับการตกแต่งอีกชนิดหนึ่ง ทามากจากเศษไม้โดยการอัดและบีบภายใต้ความร้อนสูง จากากยึดติดแน่นของไม้ชนิดนี้ จึงมี

3.8.10 ไม้อัดเคลือบลาย

เป็นแผ่นไม้อัดและกระดาษอัดนามาเคลือบลายโพลีด้วยเครื่องจักรมีสีสันและลวด ลายให้เลือกทั้งชนิดมันเงาและชนิดผิวด้านเหมาะสาหรับ ตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ กั้นห้อง ทาฝ้าเพดาน
3.9 เครื่องมือ-อุปกรณ์ในงานไม้
งานไม้เป็นงานที่ทาให้เกิดรูปร่างความสวยงามได้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องเป็นวิชาหนึ่งที่ทุกคนสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ ไม้เป็นวัสดุที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามที่ต้องการ ดังนั้นการปฏิบัติงานได้อย่างถูกวิธี ถูกทักษะ ก็ย่อมทาให้เกิดประโยชน์ได้มาก หลักปฏิบัติงานไม้ประการหนึ่งก็คือ ต้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเครื่องมือ-อุปกรณ์ต่าง ๆ ในงานไม้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้การบารุงรักษา ในบทนี้จะอธิบายถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานไม้ ดังนี้

3.9.1 เครื่องมือวัดและกาหนดขนาด
1) ไม้บรรทัด (Rules) คือ ไม้บรรทัดที่มีทองเหลืองเคลือบปลาย ทองเหลืองจะทาหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับไม้บรรทัด ไม้บรรทัดโดยทั่วไปจะมีความยาว 1 ฟุต (12”)

2) ไม้บรรทัดพับ (Zigzag rule) ใช้วัดเครื่องมือที่มีความยาวมาก ๆ เพื่อให้เกิดความแน่นอนและไม่ผิดพลาด ไม้บรรทัดประเภทนี้มีทั้งที่บอกหน่วยเป็นนิ้ว และบอกหน่วยเป็นเมตร

3) ตลับเมตร (Push-pull) คือ แผ่นเหล็กที่ม้วนอยู่ในกล่องสามารถดึงออกได้ มีขอที่ปลายไว้สาหรับเกี่ยวขอบของชิ้นงาน สามารถวัดโค้งหรือคดได้ตามอุปกรณ์ที่จะวัด ใช้ในการวัดเพียงอย่างเดียว

4) ไม้ฉาก (Squares) ใช้ทดสอบและวัดเครื่องมืออุปกรณ์ ใบ และด้ามที่จับจะทามุมชนกัน (90 องศา) หน้าที่ของไม้ฉาก คือ . ใช้ทดสอบผิวหน้าของไม้ .ใช้ตรวจสอบผิวหน้ากับขอบชิ้นไม้ว่าได้ฉากหรือไม่

5. ปากกาโค้ง (Calipers) ลักษณะเป็นขาโค้งสองข้าง ด้านปลายจะหมุนไปมาได้ ใช้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอก (Outside diameter) ของชิ้นงาน

3.9.2 อุปกรณ์สาหรับกาหนดขนาด
1. ดินสอ ใช้กาหนดขนาดของชิ้นงาน ดินสอที่ใช้ไม่ควรจะดามากเพราะจะเข้าไปในฝังในเนื้อไม้ ทาให้มองเห็น และชิ้นงานไม่สวยงาม


2. ใบมีดสั้น (Short bladed knife หรือ sloyd knife) ทาเครื่องหมายได้ชัดแน่นอนแม่นยา สามารถตัดหรือเหลาไม้ หรือใช้เลื่อยตามเส้น
3. มีดคัตเตอร์ (Utility knife) มีด้ามจับ การใช้ต้องกาหนดเส้นไว้บนส่วนของชิ้นงาน แล้วใช้ใบมีดคัตเตอร์ตัดตามรอยที่กาหนดนั้นเพื่อป้องกันการลบหายบนชิ้นงาน


4. ขอขีดไม้ (Marking gauge) ใช้ในการทาเส้นขนานกับขอบชิ้นงานหรือผิวหน้าชิ้นงานโดยเฉพาะชิ้นงานที่ยาว 6” หรือน้อยกว่า

5. เหล็กขูด (Scratch awl)ใช้กาหนดจุดกึ่งกลางของรูเจาะที่เป็นกระดานไม้หรือกระดาษแข็ง หรือกาหนดจุดนาเพื่อใส่ห่วงแขวนภาพ โดยหมุนเกลียวเข้าไปในเนื้อไม้

3.9.3 เครื่องมือในการตัดไม้
เครื่องมือในการตัดไม้ (Cutting tools) หมายถึง เลื่อย เพราะเลื่อยเป็นเครื่องมือที่ใช้ตัดไม้มีฟันเป็นเหล็กและมีความคม เลื่อยมีหลายชนิดแล้วแต่การใช้งาน งานที่ไม่ต้องการความละเอียดมากจะใช้เลื่อยที่มีฟันหยาบส่วนงานที่ต้องการความละเอียด จะใช้เลื่อยฟันละเอียด การใช้เลื่อยจึงต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง การใช้เลื่อยทางานไม้ในโรงงาน มีสิ่งประกอบการทางาน คือ


1. โต๊ะทางาน (Workbench) ทาจากไม้หรือเหล็กประกอบกัน โต๊ะทางานจะออกแบบเพื่อทางานได้คนเดียวหรือสองคน แต่บางทีอาจดัดแปลงเพื่อใช้ทางานได้ถึง 4 คน ก็มี
2. ปากกาจับไม้ (Wood vise) มีแคลมป์สาหรับจับไม้ที่ตั้งประกอบติดกับโต๊ะทางานไม้ ใช้จับชิ้นไม้เพื่อเลื่อยหรือทางานอื่น ๆ

การเลื่อยตัดและเลื่อยโกรก (Crosscut and rip saw)
1. การเลื่อยตัด เลื่อยชนิดนี้จะใช้ตัดไม้ตามขวางเสี้ยนไม้ ฟันของเลื่อยมีความคมสลับกันทั้งซ้ายและขวา สามารถตัดชิ้นไม้ที่มีความกว้างกว่าตัวเลื่อยได้ จานวนฟันของเลื่อยจะมี 8 ซี่ต่อความยาว 1 นิ้ว

2. การเลื่อยโกรก การโกรก หมายถึง การผ่าหรือตัดไม้ตามความยาวของเสี้ยนได้ ฟันของเลื่อยจะห่างและเอียงองศามากกว่าเลื่อยตัด ซึ่งเมื่อตัดลงไปในเนื้อไม้แล้วจะมีลักษณะ จานวนฟันของเลื่อยจะนับ 5 จุดต่อนิ้ว หรือ 5 ฟันต่อนิ้ว

3. เลื่อยรอ (Back saw) เป็นเลื่อยมีลักษณะเส้น (Back) แข็ง มีฟันละเอียดจานวน 14 สี ต่อความยาว 1 นิ้ว ใบเลื่อยบาง ความยาวที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ ยาว 12 นิ้ว ใช้กับงานที่ต้องการ ความประณีต เช่น ตู้ ผ่าเดือย หรือการเข้ามุมไม้ เป็นต้น

วิธีการใช้เลื่อยกับงานไม้
1. การตัดไม้ (Crossing wood) ทาเครื่องหมายที่ต้องการจะตัดบนไม้ นาไม้ยึดติดกับแคลมป์เพื่อให้ปลอดภัย ไม้ที่ยาวหรือกว้างจนยึดไม่ได้ ให้นาไปเลื่อยบนโต๊ะม้านั่ง การเลื่อยให้วางฟันเลื่อยใกล้กับเส้นที่ลากไว้ (อยู่ริมนอกของเส้น) ใช้หัวแม่มือซ้ายกันใบเลื่อยให้อยู่ตรงแนวลากใบเลื่อย เข้าหาตัวช้า ๆสั้น ๆ
90 งานไม้
หลายครั้ง จนใบเลื่อยเกิดเป็นร่อง ใช้ฉากเหล็กมาวัดฉาก หลังจากเริ่มตัดแล้วให้ดึงใบเลื่อยยาว ๆ โดยเอียงเลื่อยทามุม 45 องศา กับไม้ ก่อนไม้จะขาดควรใช้มือข้างซ้ายประคองไม้ไว้ เพื่อป้องกันไม้ฉีกขาด

2. การโกรกไม้ (Ripping wood) หรือเรียกอีกอย่างว่า “การซอยไม้” ปฏิบัติได้ดังนี้ หลังจากทาเส้นกาหนดบนไม้แล้ว ยึดไม้ให้แน่นกับแคลมป์หรือวางบนโต๊ะม้านั่ง ควรอยู่ในลักษณะที่ชักใบเลื่อยได้สะดวกจนสุดใบ เมื่อเริ่มโกรกไม้ให้ทาเช่นเดียวกับการตัดไม้ แต่ให้ใบเลื่อยเอียงทามุม 60 องศากับไม้ ถ้าใบเลื่อยตัดขณะที่ซอยไม้ยาว ให้เสียบลิ่มในร่องที่ตัด เพื่อจะทาให้ตัดไม้ได้ง่ายขึ้น

3. การใช้เลื่อยรอเลื่อยไม้ มีลักษณะการปฏิบัติงานคล้ายกับการตัดไม้ เพียงแต่งานที่ใช้กับเลื่อยรอเป็นงานประณีต และมีความถูกต้องแน่นอน

หมายเหตุ เมื่อปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าวางเลื่อยบนพื้น ควรนาเลื่อยไปแขวนไว้ ไม่ควรตัดไม้หรือโกรกไม้โดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ามีตะปูติดค้างอยู่ที่ไม้ เพราะจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้ใบเลื่อยเสียหาย

3.9.4 เครื่องมือที่ใช้ตอก
เครื่องมือที่ใช้ตอก (Briving tools) จะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. ค้อนหงอน (Claw hammer) ค้อนชนิดนี้เหมาะกับช่างไม้โดยเฉพาะ เหล็กหน้าค้อนที่ใช้ตอกตะปูจะโค้งนูนออกมาเล็กน้อย เวลาตอกตะปูหน้าค้อนจะไม่ฝังเข้าเนื้อไม้เป็นรอยบุบมีหงอนอยู่ที่หัวมีร่อง เพื่อถอนตะปูได้สะดวก ที่ด้ามจะเป็นไม้และกลึงเป็นส่วนเว้าเพื่อสะดวกในการจับหรือปฏิบัติงาน ขนาดของค้อนจะบอกเป็นปอนด์หรือออนซ์ ค้อนที่ดีควรให้หน้าค้อนสะอาดปราศจากไขมัน ยาง หรือกาว ไม่เช่นนั้นการตอกตะปูจะทาให้ตะปูงอได้ง่าย

2. ค้อนไม้ (Mallet) เป็นค้อนที่ทาจากไม้เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นดีกว่าเหล็ก ใช้กับงานสิ่วเจาะไม้ (ไม่ควรใช้ค้อนเหล็กตอกเพราะด้ามสิ่วจะแตก) ลักษณะของค้อนไม้ที่ส่วนหัวและด้ามจับจะเป็นไม้ที่กลึงกลมเป็นสี่เหลี่ยม ขนาดโดยทั่วไปที่เหมาะสมจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวค้อน 3 นิ้ว และยาว 5 นิ้ว

3. ไขควง (Screw drivers) ไขควงมีใบยาวขนาดตั้งแต่ 2 นิ้วถึง 18 นิ้ว ไขควรที่ดีใบเชื่อมจะติดไปถึงด้ามจับตอนใน เพื่อป้องกันไม่ให้ด้ามหมุนตามในขณะที่ขันแรง ๆ ไขควงแบบใบยาวจะมีกาลังดีกว่าใบสั้น ตอนปลายของใบควรจะแบนและได้ฉาก และหนาไม่เกินร่องตะปูควงที่จะไข มิฉะนั้นจะทาให้ร่องตะปูเสีย นอกจากนั้นยังมีไขควงที่ช่วยให้ทางานง่ายขึ้นอีก เรียกว่า ไขควงอัตโนมัติ (Automatic screw driver) การทางานเพียงกดด้ามลง ใบไขควงจะทางานเอง จึงไม่ต้องออกแรงมาก

3.9.5 เครื่องมือไสไม้
เครื่องมือไสไม้ (Planer tool) ในงานช่างไม้ได้แก่ กบ (Planers) กบถือเป็นเครื่องมือสาคัญและขาดไม่ได้สาหรับช่างไม้ เนื่องจากกบเป็นเครื่องมือที่ใช้แต่งผิวไม้ให้เรียบได้ขนาดตามความต้องการ ตัวกบอาจทาด้วยไม้หรือด้วยเหล็ก ดังนั้นกบที่ใช้กันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
91 งานไม้
- กบไม้
- กบเหล็ก

1. กบไม้ มีส่วนประกอบดังนี้
- ตัวกบ ทาจากไม้เนื้อแข็งที่ไม่ยืดหรือหดตัวเร็ว ไม้ที่นิยมใช้กันคือ ไม้ชิงชัน หรือไม้ประดู่ ไม้แดง หรือไม้พยุง ขนาดความยาว 16” หนาประมาณ 2 ½” มีร่องเจาะด้านหลังเอียง 45 องศาเหลือเนื้อไม้ตอนริม ¼” ความกว้างของร่องจากริมหลังถึงริมหน้า 1 ¾” –2” และที่ด้านหลังเจาะรูเป็นวงกลมหรือวงรี ขนาดประมาณ ¾” ไว้ใส่ด้ามจับ

- ใบกบ ทาจากเหล็กกว้าง 1 ¾” หนาประมาณ 3/16” ยาวประมาณ 6 ½” มีคมที่ส่วนล่างเพื่อใช้ขูดไม่ให้เรียบ เป็นส่วนที่สาคัญที่สุดของกล

- เหล็กประกับใบ หรือเหล็กประกับกบ อยู่ระหว่างใบกบและลิ้นติดกับใบกบ โดยมีน็อตสกรูยึดติดเหล็กประกันใบนี้ ขนาด 1/8” x 1 ¾” x 4” มีหน้าที่เสริมกาลังตอนปลายของใบกบไม่ให้อ่อนหรือบิดในเวลาที่ทาการไส และควบคุมการกินของไม้ เพื่อไม่ให้ไม้ย้อน

- ลิ่ม เป็นแผ่นไม้ชนิดเดียวกับไม้ที่ทาตัวกบคล้ายหัวขวานแต่บางกว่า ใช้ตอกอัดเข้าร่องเวลาใส่ในกบ เพื่อให้ใบกบแน่น

- ก้านหรือมือจับยาวประมาณ 9”-10” รูปวงกลมหรือวงรีช่วยให้จับกบได้เหมาะมือ

2. กบเหล็ก โดยทั่วไปแตกต่างกับกบไม้ การใช้งานง่ายกว่ากบไม้ ผลงานที่ออกจากการใช้ พบว่ากบเหล็กมีประสิทธิภาพดีกว่า ให้ผลที่แน่นอน และเรียบร้อยกว่ากบไม้ การประกอบและการปรับก็ง่ายกว่า แต่ในเมืองไทยไม่ค่อยนิยมใช้ จึงทาให้ไม่คุ้นกับการใช้กบเหล็ก ซึ่งดูจะซับซ้อน ยุ่งยาก
ชนิดของกบ

1. กบล้างยาว ขนาดโดยทั่วไป 2” x 2 ½” x18” มุมเอียงของใบกบประมาณ 45”-50” ใช้สาหรับไสไม้ให้เรียบและตรงระยะยาว ๆ หรือใช้ล้างแนวไสให้เรียบขึ้น

2. กบล้างกลางและสั้น มีขนาดสั้นกว่ากบล้างยาว คือมีขนาด 12” (สาหรับกบล้างกลาง) และมีขนาด 6” (สาหรับกบล้างสั้น) ส่วนประกอบอื่น ๆ คล้ายกับกบล้างยาวทุกอย่าง ใช้ไสไม้ที่มีความยาวไม่มากนักให้เป็นเส้นตรง

3. กบผิว ลักษณะจะคล้ายกับกบล้าง คือ มีความยาวใกล้เคียงกัน แต่ที่แตกต่างกันคือมุมของใบกบจะเอียงประมาณ 50 – 60 องศา และกบผิวจะไม่มีฝาประกับกบ มีแต่ลิ่มไม้เท่านั้น กบผิวใช้ต่อจากการใช้กบล้าง เพื่อไสไม่ให้เรียบมากยิ่งขึ้น

การไสกบไม้ สามารถปฏิบัติได้ดังนี้

1. เมื่อตั้งใบกบและปรับใบให้เรียบร้อยแล้ว เตรียมชิ้นงานที่จะไสวางบนโต๊ะทางานให้พร้อม
92 งานไม้

2. ใช้มือ 2 ข้างจับที่ด้ามจับ โดยใช้หัวแม่มือทั้งสองกดที่หลังตัวกบ นิ้วชี้เหยียดแนบข้างตัวกบ แล้วออกแรงกดด้วยฝ่ามือที่จับ เสือกกบตรงออกไปข้างหน้า และต้องคอยควบคุมตัวกบให้เลื่อนตรงตามทิศทางที่ต้องการ

3. การยืนไสจะให้แรงดีที่สุด ขาทั้งสองต้องเหยียดตรง เวลาพุ่งกบออกไปก็โน้มตัวและย่อขาตาม ขณะที่ไสออกไป แขนทั้งสองต้องเหยียดตรงเสมอกัน จะทาให้กบไสผิวไม้ได้คงที่ การไสไม้ให้ไสตามแนวเสี้ยนไม้

4. เมื่อไสกบเกือบได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว จะต้องใช้กบผิวไสเก็บความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง
3.9.6 เครื่องมือสาหรับเจาะไม้

เครื่องมือเจาะไม้ (Boring tools) เป็นเครื่องมือที่สาคัญอย่างหนึ่งในงานช่างไม้ ซึ่งจะขาดไม่ได้เช่นกันในการปฏิบัติงานไม้ การประกอบไม้เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นรูปร่าง จะต้องมีการเจาะไม้ นักศึกษาจึงควรได้ศึกษาถึงเครื่องมือที่ใช้เจาะไม้ ดังนี้คือ

- สิ่ว (Chisels)
- สว่าน (Drills)
- ดอกสว่าน (Bits)

1. สิ่ว (Chisels) คือเครื่องมือในงานไม้ที่เป็นเหล็ก มีความคม จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อไสไม้ได้ขนาดแล้ว งานที่จะทาต่อไปคือการประกอบไม้เข้าด้วยกันโดยการเจาะ สิ่วจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานเจาะมากที่สุด การแบ่งสิ่วตามลักษณะที่สร้างมาในท้องตลาด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

- สิ่วที่โคนเรียวแหลมฝังเข้าไปในด้าม เรียกว่า Tang
- สิ่วที่ด้ามฝังเข้าในโคนสิ่ว เป็นท่อเรียวกลวงข้างใน เรียกว่า Socket
แต่ถ้าแบ่งสิ่วตามชนิดและลักษณะของการใช้งาน สามารถแบ่งได้ดังนี้

ก. สิ่วใบหนา (Firner chisel) สิ่วชนิดนี้จะมีใบที่หนาแข็งแรง ใช้งานได้ทั้งหนักและเบาขนาดความกว้างมีตั้งแต่ 1/8” –1” (ขนาดสิ่วเรียกตามความกว้าง)

ข. สิ่วปากบาง (Paring chisel) สิ่วชนิดนี้ใบจะบางกว่าชนิดแรก โดยทั่วไปจะใช้สิ่วนี้เซาะไม้ด้วยมือ ไม่นิยมใช้ตอก ตอนริมของใบสิ่วจะเอียงลาดลงไปหาอีกด้านหนึ่ง เพื่อทางานละเอียด มีขนาดตั้งแต่ 1/8” –2”

ค. สิ่วเข้าโครง (Framing chisel) ตัวสิ่วจะหนักและแข็งแรงมาก ใช้ในงานหนัก ๆ เช่น การประกอบโครงเรือ สิ่วชนิดนี้จะมีวงแหวนเหล็กที่ด้ามเพื่อกันด้ามแตก

ง. สิ่วเดือย (Mortisel chisel) ใช้สาหรับเจาะร่องรับเดือย ลักษณะพิเศษคือ ตัวสิ่วตั้งแต่ด้ามลงมาที่ตัวสิ่วจะหนา เพราะเวลาเจาะต้องใช้สิ่วงัดเพื่อให้ไม้หลุด ซึ่งใช้กาลังมากกว่าสิ่วธรรมดาที่กล่าวมาแล้ว

จ. สิ่วทาบัวหรือสิ่วเซาะร่อง เป็นสิ่วที่ใช้ทาบัว เซาะร่อง เจาะรูกลม หรือแต่งไม้ส่วนที่เป็นโค้ง ใบสิ่วมีลักษณะรูปโค้งเว้า ขนาดใบกว้าง ¼” –2” มักเรียกสิ่วชนิดนี้ว่า สิ่วเล็บมือ

2. สว่าน (Drills)
การเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อนาน็อต สกรู หรือตะปูยึดติด อาจจะต้องใช้เครื่องมือเจาะรูที่เรียกว่า “สว่าน” สว่านที่ใช้เจาะมีรูปร่างต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงานที่ใช้ ดังนี้
- สว่านข้อเสือ
- สว่านมือ
- เหล็กหมาดและบิดหล่า
- สว่านข้อเสือ (Brace drills) ช่างไม้นิยมใช้สว่านเจาะรูปช่วยในการทารูเดือย ส่วนประกอบของสว่านชนิดนี้มี 3 ส่วนคือ ส่วนหัว (Head) ส่วนมือจับ (Handle) และที่ปรับดอกสว่าน (Chuck) การใช้งานจะหมุนตามเข็มนาฬิกา เพื่อยึดให้แน่น แต่ถ้าจะคลายต้องหมุนไปทางซ้าย สามารถใช้งานได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง
- สว่านมือ (Hand drill) หรือสว่านเจาะนา การเจาะรูชิ้นงานจะเจาะให้เล็กกว่า ¼” สามารถเจาะได้ทั้งงานเหล็กและงานไม้ ลักษณะแตกต่างกับสว่านข้อเสือ ส่วนที่ใช้หมุนดอกสว่านเพื่อยึดชิ้นงานจะใช้ส่วนที่เรียกว่า Crank ถ้าใส่ดอกสว่านไม่ดี ดอกสว่านจะหักง่าย สว่านเมื่อสามารถเจาะได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง
- เหล็กหมาด (Brad awl) รูปร่างคล้ายไขควงเล็ก ๆ ใช้สาหรับเจาะในเวลาที่จะตอกตะปูหรือตะปูเกลียว วิธีใช้จะกดลงในเนื้อไม้แล้วบิดซ้ายขวา ไม่ควรใช้กับไม้บาง
- บิดหล่า (Gimlet bit) ใช้เจาะรูขนาดเล็ก ๆ ที่ต้องการฝังตะปูควงเข้าไปในเนื้อไม้แข็งมีขนาดตั้งแต่ 1/16” – 3/8”

อุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับกับเครื่องมือที่เจาะรูที่กล่าวมาแล้ว ถือว่ามีความสาคัญในการเจาะรูที่จะขาดเสียไม่ได้ นั่นก็คือ “ดอกสว่าน” เพื่อความเข้าใจในเรื่องการเจาะให้มากขึ้นจะขออธิบายถึงดอกสว่านดังนี้

1. ดอกสว่านเจาะ (Drill bit) ใช้กับงานที่ต้องการคว้านเนื้อไม้ภายในวงกลมออก มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นลาตัว และส่วนปลายที่เป็นเกลียว ส่วนที่เป็นเกลียวที่ปลายจะแหลมคม เกลียวเล็ก ๆ ที่ตอนปลายจะฝังและดูดส่วนอื่นให้เข้าในเนื้อไม้ เกลียวจะมีทั้งชนิดหยาบและละเอียด ขนาดของดอกสว่านเรียกเป็นเศษส่วน 16 ของนิ้วเสมอ เช่น ขนาด 3/16” (ขนาดที่กล่าวมานี้หมายถึงขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางรูที่จะเจาะ) ที่ตอนโคนเป็นรูปเรียวเหลี่ยม สาหรับจาปายึดแน่น

2. ดอกสว่านขยายหัว (Expansive bit) ลักษณะหัวสามารถขยายหรือลดลงได้โดยเลื่อนตอนปลายของดอกสว่าน ใช้เจาะรูได้ตั้งแต่ 1” ขึ้นไป สามารถเจาะได้ถึง 4” เหมาะกับงานเจาะรูกุญแจ และงานท่อน้าผ่าน (บ้านที่มีฝาเป็นไม้)

3. ดอกสว่านรูลึก (Foerstner bit) ลักษณะที่หัวดอกสว่านเป็นสัน มีทั้งที่เป็นเกลียวและไม่เป็นเกลียว ซึ่งจะเจาะได้ลึกเป็นพิเศษจนถึงเจาะไม่ได้ ใช้เจาะในงานต่าง ๆ ได้ดี เช่น รูกุญแจ หรือเจาะรูช่องลาโพงวิทยุ เป็นต้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ¼” –2”

4. ดอกสว่านเฉพาะงาน (Straight-shank drill) ใช้เจาะรูกลมเล็ก ๆ ลักษณะของดอกสว่านมีปีก 2 ข้าง เกสรเป็นเกลียว ในแต่ละเกลียวมีร่องสาหรับเก็บเศษไม้ ขนาดที่มีในท้องตลาดตั้งแต่ 1/16” – ½” (ขนาดจะแบ่งย่อยละเอียดกว่าชนิดอื่น ๆ เพื่อการใช้งานเฉพาะ) ใช้สาหรับเจาะรูเพื่ออุดหัวตะปูในงานเข้ามุมของโต๊ะ เก้าอี้ วงกบ เป็นต้น

5. ดอกสว่านอัตโนมัติ (Automatic drill bit) ใช้สาหรับงานเจาะรูเล็ก ๆ เช่นเดียวกับข้อ 4 แต่การทางานจะสะดวกกว่า เมื่อใช้ควบคู่กับไขควงอัตโนมัติ คือสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวทางานได้

3.9.7 การแต่งคมเครื่องมือ
เครื่องมืองานช่างไม้ที่ดีควรจะต้องพร้อมที่จะใช้งาน ไม่ว่าจะเรื่องความคม การประกอบหรือการใช้ สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสาคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ ความคมของเครื่องมือ ซึ่งจะส่งผลให้งานออกมาได้ผลดีตามไปด้วย ดังนั้นนักศึกษาจึงควรได้ศึกษาและให้ความสนใจในเรื่องการลับคมของเครื่องมือ และสามารถปฏิบัติได้เองพอสมควร เมื่อใดที่นาเครื่องมืองานไม้ไปใช้งาน แต่ไม่มีการลับคมเครื่องมือที่ดี งานที่ทาจะยุ่งยากและไม่สะดวก การแต่งคมเครื่องมือในงานไม้ที่สาคัญ ๆ ได้แก่ การลับฟันเลื่อย ใบกบ สิ่ว และดอกสว่าน ต่อไปนี้จะอธิบาย โดยละเอียดดังนี้

ก. การลับฟันเลื่อย แบ่งได้ 3 ขั้นตอน คือ
1. แต่งระดับและรูปร่างของฟันเลื่อย
2. การคัดคลองเลื่อย
3. การตะไบฟันเลื่อย
การลับฟันเลื่อยทั้ง 3 ขั้นตอน สามารถปฏิบัติได้ดังนี้คือ ตรวจสอบฟันเลื่อยว่าตั้งไว้อย่างไร (สังเกตจากการมองจากด้ามไปปลายเลื่อย) ถ้ามีระดับไม่เท่ากันให้ใช้ตะไบแบนรูดตลอดฟันเลื่อย จนปลายฟันเลื่อยสัมผัสตะไบ (การยึดเลื่อยเพื่อตะไบต้องจับใบเลื่อยเข้าระหว่างแม่แรงหรือแคลมป์กับไม้แล้วยึดให้แน่น) เมื่อปลายของฟันเลื่อยเสมอกันหมดแล้ว ทาฟันเลื่อยให้เบนออกสลับกัน โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า คัดคลองเลื่อย (saw set plier ) ตั้งจานวนฟันต่อความยาว 1 นิ้ว ให้ตรงกับจานวนฟันต่อความยาว 1 นิ้วของเลื่อยนั้น ซึ่งจะได้มุมถูกต้อง) การคัดคลองเลื่อยให้เริ่มจากด้ามถือออกไปหาปลาเลื่อย การคัดฟันให้คัดฟันหนึ่งเว้นฟันหนึ่งไปจนครบ เมื่อครบแล้วให้กลับใบเลื่อยแล้วคัดคลองของฟันที่เว้นไว้ไปจนหมดเช่นกัน ต่อจากนั้นใช้ตะไบสามเหลี่ยม ตะไบฟันเลื่อย โดยให้มีน้าหนักกดสม่าเสมอโดยดันไปข้างหน้า การตะไบให้เริ่มจากปลายเลื่อย

มาหาด้ามเลื่อยตะไบทุกซี่อย่างถูกต้อง จนฟันแหลมคม (การตะไบฟันเลื่อยตัด ให้ถือตะไบเฉียงทามุม 60 องศา กับใบเลื่อย)
ข. การลับใบกบ ใบสิ่ว เมื่อใบกบ ใบสิ่ว ไม่คม หรือบิ่น ต้องแต่งและลับให้ได้รูปร่างเช่นเดิมเพื่อให้การทางานได้สะดวกและถูกต้อง ควรปฏิบัติการลับคมดังนี้

- นาใบกบออกจากตัวกบ เพื่อนาไปลับคม โดยยึดติดกับที่ยึดของเครื่องลับหรืออาจใช้มือ ให้ด้านมุมเอียงของใบวางเข้าหาหินลับ แล้วลับไปจนได้แนวตรงและมุมที่เหมาะสม (ขณะลับใบและแต่งแนวควรหยอดน้าบนหินลับตลอดเพื่อป้องกันเหล็กไหม้) ความยาวของส่วนที่เฉียงปลายประมาณ 2 เท่าของความหนาของใบกบ หรือ 30 – 35 องศา ต่อจากนั้นให้นาใบกบหรือสิ่วมาลับบนหินน้ามันอีกครั้งหนึ่ง ขั้นตอนนี้ควรใช้น้ามันไม่ควรใช้น้า เพราะจะทาให้เศษโลหะเล็ก ๆ ฝังเข้าไปในผิวของหิน หลังจากนั้นให้กลับใบแล้วถูเบา ๆ ทางด้านแบนบนหินน้ามัน 2-3 ครั้ง ชั้นสุดท้ายลากใบกบหรือสิ่วไปมาบนแผ่นหนังหรือสะบัดคมเหมือนการลับมีดโกน
- ต้องการทดสอบความคมของใบกบหรือสิ่วที่ลับโดยใช้เล็บหัวแม่มือพาดลงบนปลายกบหรือสิ่ว ถ้าใบคมจะรู้สึกกินเล็บ ถ้าไม่คมจะลื่นไถล หรือใช้ในกบหรือสิ่วกดลงบนกระดาษ ถ้าคมกดกัดกระดาษแสดงว่าคมใช้ได้
ค. การลับคมดอกสว่าน เพื่อให้ดอกสว่านที่ใช้เจาะรูไม้มีความคม และเจาะรูไม้เพื่อทางานได้ง่าย มีวิธีการปฏิบัติดังนี้คือ ต้องหาที่มั่นคงแข็งแรง เช่น โต๊ะทางาน แล้ววางดอกสว่านบนโต๊ะ จับยึดให้แน่น นาตะไบแต่งคมมาแต่งคมดอกสว่านทีละซี่ ไปเรื่อย ๆ โดยถ้าวางกับไม้ที่แข็งแรงให้กดตะไบลง แต่ถ้าวางบนโต๊ะให้ทามุมเงยกับโต๊ะแล้วจึงใช้ตะไบแต่งคม จนครบทุกซี่ ตรวจสอบความคม เช่นเดียวกับการตรวจสอบใบกบ สิ่วก็ได้

3.9.8 เครื่องมือประกอบในงานช่างไม้
เครื่องมือที่ใช้ประกอบในงานต่าง ๆ ของช่างไม้จะทาให้ประสิทธิภาพของงานสูงขึ้น และเกิดความถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ดังนี้

1. ระดับน้า (Levels) ทาจากไม้หรือโลหะ รูปร่างยาวประมาณ 1 ¾” x 3” x26” เป็นต้น ตรงกลางจะฝังหลอดแก้วซึ่งบรรจุน้าไว้ภายใน วิธีการตรวจสอบระดับคือ วางระดับน้าบนชิ้นงาน ถ้าฟองอากาศในหลอดแก้วนี้อยู่ตรงกลาง แสดงว่าได้ระดับที่แท้จริง

2. ลูกดิ่ง (Plumb bob) ทาจากเหล็กหรือทองเหลือง รูปร่างคล้ายลูกข่าง ตอนปลายเรียวแหลม ตอนล่างมีที่ร้อยด้ายหลอด ลูกดิ่งใช้สาหรับทดสอบแนวดิ่งของอาคารกับส่วนอื่น

3. ขอขีดไม้ (Maring gauge) ได้อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ข้างต้นแล้ว
96 งานไม้

4. เหล็กส่งหัวตะปู (Nail set) เป็นแท่งเหล็กตันยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ¼ นิ้ว ปลายเรียว ขนาดของปลายไม่แน่นอน แล้วแต่ขนาดตะปูที่ใช้ส่งหัวลงในเนื้อไม้ เพื่อประโยชน์ในการเก็บรอยตะปูที่เป็นงานเคลือบเงาต่าง ๆ

5. ตะไบและบุ้ง (Files and rasp) ตะไบและบุ้งใช้แทนเครื่องมืออื่นที่ตัดแต่งไม่สะดวก ตะไบที่ใช้แต่งคมเครื่องมือช่างไม้มีหลายชนิดแตกต่างกัน เช่น ตะไบแบน ตะไบครึ่งวงกลม ตะไบกลม และตะไบสามเหลี่ยม ขนาดของตะไบจะยาวตั้งแต่ 4-14 นิ้ว ฟันของตะไบแบ่งเป็น 2 ชนิด คือฟันคู่ (Double cut) และฟันเดี่ยว (Single cut) ส่วนลักษณะของบุ้งจะหยาบกว่าตะไบ โดยจะมีส่วนที่ยื่นแหลมออกมาเป็นปุ่มๆ เรียกว่าฟัน สามารถจะทางานได้เร็วกว่าตะไบ แต่งานจะหยาบกว่า ดังนั้นการใช้งานควรใช้ควบคู่กันโดยใช้บุ้งก่อนแล้วจึงเก็บงานด้วยตะไบ
การประกอบไม้วิธีต่างๆ

3.9.9 การต่อไม้

การต่อไม้ คือการทาให้ไม้ยาวขึ้น หรือการเอาไม้มาเชื่อมกัน โดยวางไปในทางเดียวกัน การเชื่อมนั้นจะต้องไม่ทาให้บังเกิดมุมขึ้น ดังนั้น เมื่อเราเอาไม้มาวางต่อกันเข้าแล้วใช้ตาปูตอกก็จะทาให้ไม้ยาวขึ้น
ภาพที่ 3.5 แสดงการต่อไม้
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527
การที่เราเอาไม้มาวางทาบกันเข้าให้หนาขึ้น เราเรียกว่า เสริมไม้ หรือการที่เราเอาไม้มาวาง
เรียงกันเข้าทาให้กว้างออกไป เรียกว่า เพลาะไม้ ดังแสดงในรูป

ภาพที่ 3.6 แสดงการเสริมและการเพลาะไม้
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

ดังนั้น ประโยชน์ของการต่อไม้ก็คือ ถ้าไม้ยาวไม่พอ เราอาจทาให้ยาวออกไปได้อย่างหนึ่ง
ถ้าไม้หนาไม่พอเราอาจทาให้หนาขึ้นได้ ถ้าไม้นั้นกว้างไม่พอ เราอาจทาให้กว้างออกไปได้ดัง
กล่าวมาแล้ว
การต่อไม้ในงานก่อสร้างโดยทั่วไปนั้น จะเกี่ยวข้องกับแรง 2 ชนิด คือ แรงกด และแรงดึง ดังนั้น การต่อไม้จึงต้องต่อให้ถูกต้องตามหน้าที่ที่จะนาไปใช้

1) การต่อไม้เพื่อใช้รับแรงกด เช่น การต่อขาโต๊ะ ตู้ เสา และส่วนที่ทาหน้าที่อย่างเสา คือ การทาให้การถ่ายน้าหนักหรือแรงจากท่อนหนึ่งลงไปยังอีกท่อนหนึ่ง โดยไม่เปลี่ยนทิศทางเดิมของแรงหรือน้าหนักนั้น หมายความว่า พยายามทาให้ศูนย์กลางของไม้สองท่อนอยู่ในแนวแกนเดียวกัน หรืออยู่ในเส้นตรงอันเดียวกัน ดังแสดงในรูป

ภาพที่ 3.7 การต่อไม้เพื่อรับแรงกด
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

การต่อไม้ดังกล่าวแล้วข้างต้น มีวิธีการต่อได้อีก 3 ลักษณะ คือ

ก. ต่อมีเดือย หรือมีแกน เป็นการต่อที่แข็งแรงพอใช้ได้ โดยการถ่ายน้าหนักจากท่อนบนลงมายังท่อนล่างโดยตรง แกนหรือเดือยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวตรึงไม้ทั้งสองท่อนนั้นให้เชื่อมกันมั่นคงขึ้น เพื่อป้องกันแรงอื่นมาทาให้พลาดออกจากกัน

ข. การต่อบาก โดยการให้ตั้งซ้อนกันอยู่ ซึ่งมี 2 วิธี คือ บากครึ่งต่อครึ่งเป็นแนวตรง คือบากความหนาของไม้ที่ต่อกันนั้นออกข้างละครึ่ง และบากออกให้มีส่วนที่ว่างซ้อนกันได้ประมาณ 1-2 เท่าของหน้ากว้าง ถ้าได้บากให้มีส่วนซ้อนกันได้มาก ก็จะทาให้ยึดเหนี่ยวกันได้มากยิ่งขึ้น


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

ค. การต่อดาม เป็นการต่อที่ให้ความแข็งแรงที่สุด การต่อดาม คือ การตั้งซ้อนกันเฉยๆ แต่มีไม้ดามข้างๆเพิ่มขึ้น ไม้ดามทาหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการพลิกพลาด และการถ่ายน้าหนักจากท่อนหนึ่งลงท่อนหนึ่งนั้น เป็นการถ่ายที่ตรงที่สุด และเป็นวิธีที่แข็งแรงที่สุด แต่ทางด้านความงามนับว่าน้อยมาก บางทีการดามไม้ เราอาจใช้เหล็กดามก็ได้ แล้วใช้ตาปู หรือสลักเกลียวตรึงให้มั่นคง ดังรูป


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2) การต่อเพื่อใช้รับแรงดึง ได้แก่ การต่อไม้ที่ทาหน้าที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวระหว่างไม้
เช่น การสร้างโครงบ้าน ไม้ขื่อ ไม้ยึดระหว่างขาโต๊ะ เก้าอี้ หรือผนังตู้ การต่อแบบนี้ แบ่งออกได้ 3 อย่าง คือ

ก. บากให้เป็นขอเกี่ยวกันอย่างง่ายๆ
ลักษณะคล้ายกับการต่อบากตั้งซ้อน แต่มีการบาก
เป็นขอให้เกาะกันแน่นเพื่อให้ดึงออกจากกันได้
ยากนอกจากจะเกิดการฉีกขาดขึ้น แต่ในทางที่ดี
แล้วควรหาเหล็กดามทางด้านท้องไม้ไว้ด้วย


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

ข. บากเป็นลักษณะปากฉลามมีขอเกี่ยว การต่อแบบนี้เป็นวิธีเดียวกับข้อ ก. แต่ตัดเหลี่ยมขอให้ทะแยงเป็นปากฉลาม ซึ่งเหมาะสาหรับการรับแรง ดึงอย่างเดียว

โดยเฉพาะ แต่ถ้าหากมีแรงกดมากๆ การต่อแบบนี้จะใช้ไม่ได้ผลเลย เพราะไม้ทั้งสองจะเลื่อนไถลหลุดออกจากกันได้ง่าย

ค. การต่อชนและดามฝัง เป็นการต่อที่คล้ายกับการต่อสาหรับกาลังกด จากในรูปจะเห็นได้ว่า ไม้ทั้งสองท่อนจะดึงให้หลุดออกจากกันได้ยากนอกจากการฉีกขาด

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527




ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527


การเข้าไม้นั้น จะเป็นการเข้าเฉยๆหรือตัดปากเข้าชนกัน หรือจะเป็นการเข้าเดือยเกาะเกี่ยวกัน หรือจะชนกันในวิธีใดๆก็ตาม นับว่าเป็นการเข้าไม้ทั้งนั้น การเข้าไม้มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ การเข้าไม้มุมฉาก เราเรียกว่า "เข้าฉาก" การเข้าไม้ไม่เป็นมุมฉาก เรียกว่า "การเข้าเฉ"

1) การเข้าไม้ทาโครง
การเข้าไม้ทาโครง ได้แก่การเข้าไม้ที่ประกอบขึ้นเป็นโครงในการรับน้าหนัก หรือยึด
เหนี่ยว เช่น การทาโครงบ้าน โครงหลังคา ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
1. การเข้าชน 2. เข้าบาก 3. การเข้าเดือย
1.1) การเข้าชน เป็นการประกอบไม้ที่ง่าย และประหยัดที่สุด การเข้าไม้แบบนี้ไม่แข็งแรงนัก แบ่งออกได้
2 วิธี คือ

ก. การเข้าไม้แบบชนฉาก การเข้าไม้แบบชนฉาก เริ่มจากการตกแต่งไม้ให้เรียบและให้ได้ฉากที่ดีเสียก่อน แล้วจึงนาเข้าฉากกันและตรึงด้วยไม้ชั่วคราว จึงจะตอกตาปู ขันตาปูเกลียว หรือประกอบเหล็กฉากให้ยึดแน่น

ข. การเข้าไม้แบบชนเฉ การเข้าไม้แบบชนเฉ เป็นวิธีการที่ยากกว่า แบบ ก. โดยการตัดไม้ให้เฉไปตามความต้องการของเรา การเข้าแบบนี้จะเห็นว่าไม่แข็งแรง นอกจากจะมีการยึดด้วยเหล็กฉากหรือปะอีกที
ภาพที่ 3.13 แสดงการเข้าไม้แบบชนฉาก และชนเฉ
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

1.2) เข้าบาก หมายถึง การเอาไม้แผ่นหนึ่งฝังเข้าไปในไม้อีกแผ่นหนึ่งประมาณ 1 / 3 หรือ 1 /4 ของความหนาของแผ่นไม้ (ดังรูป) การเข้าไม้ในลักษณะนี้จะเห็นว่า แผ่นที่ถูกฝัง จะถูกบาก
ภาพที่ 3.14 แสดงการเข้าไม้แบบบากตรงและแบบหางเหยี่ยว
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

ออกเป็นบ่าตั้งรับแผ่นที่ฝัง ทาให้มีส่วนยันกันได้ดี เมื่อเราตรึงตาปูหรือเกลียว จะทาให้แน่นหนาขึ้น ดีกว่าการเข้าชน ถ้ายิ่งใช้เหล็กฉากเข้าช่วย ยิ่งทาให้แข็งแรงขึ้น

1.3) การเข้าเดือย เป็นวิธีการเข้าไม้โดยไม้ท่อนหนึ่งจะถูกตัดออกมาโดยรอบให้เหลือเพียงแกนกลางยื่นออกมาตามความต้องการ ซึ่งเราเรียกส่วนนี้ว่า “เดือย” ส่วนอีกท่อนหนึ่งจะถูกเจาะให้เป็นรูลึกลงไป ความกว้างของรูขนาดพอดีกับเดือย ซึ่งเราเรียกรูนี้ว่า “ร่องเดือย”

ภาพที่ 3.15 แสดงลักษณะตัวเดือยและร่องเดือย
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2) การเข้าไม้สาหรับใช้ประกอบรูปร่าง
การเข้าไม้แบบนี้ ไม่ได้ทาขึ้นเพื่อรับน้าหนักมาก จุดประสงค์เพียงเพื่อต่อไม้ให้มีรูปร่างตามที่ต้องการเท่านั้น เช่น เข้ามุมหีบ กรอบรูป ฯลฯ

ภาพที่ 3.16 แสดงการเข้าเดือยทากรอบ
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527


2.1) การเข้าแนวไม่ตรงมุม

2.1.1) เข้าชน หมายถึงการนาเอาไม้แผ่นหนึ่งชนเข้ากับไม้แผ่นหนึ่ง โดยไม่มีการฝังหรือยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันเลย ที่ติดอยู่ได้ก็โดยการยึดด้วยตะปู หรือเกลียวเหล็กยึด การเข้าไม้แบบนี้ทาได้ง่าย แต่ไม่ค่อยแข็งแรง

2.1.2) เข้าบ่า หมายถึงการนาเอาไม้แผ่นหนึ่งฝังเข้าไปในไม้อีกแผ่นหนึ่งประมาณ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของความหนาของแผ่นไม้ การเข้าไม้แบบนี้จะเห็นว่า แผ่นที่ถูกบากออกเป็นบ่าตั้งรับแผ่นที่ฝัง ทาให้มีส่วนที่ยันกันได้ดี เมื่อมีการตรึงด้วยตะปูหรือเกลียว จะทาให้แน่นหนาขึ้น


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2.1.3) การเข้าลิ้น หมายถึงการเข้าไม้โดยโกรกไม้แผ่นหนึ่งทาเป็นตัวลิ้น ฝังเข้าไปในอีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งทาเป็นรางรับไว้ แผ่นที่ตั้งลงบนอีกแผ่นหนึ่งนั้น ตลอดความยาวของส่วนที่ตั้งทาเป็นตัวลิ้น

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

รูปสี่เหลี่ยม คือตัวลิ้นอยู่กลางความหนาของไม้พอดี และมีความหนาที่ยื่นออกมาเท่ากัน มีหน้าตัดเป็นจตุรัส ซึ่งมีขนาดเป็น 1 ใน 3 ของความหนาเดิม ส่วนไม้อีกแผ่นหนึ่งก็ทาเป็นตัวรางในลักษณะเดียวกันเตรียมไว้ให้ลิ้นเข้าตั้งได้สนิทตรงตามระยะที่ต้องการ การเข้าไม้วิธีนี้ มีการยึดเหนี่ยวในระหว่างตัวเองได้ดีกว่า 2 วิธีแรก และถ้าต้องการเข้าลิ้นให้มีแรงดึงมากขึ้น ควรทาลิ้นให้เป็นรูปหางเหยี่ยว (ดังแสดงในรูป)
2.2.4) เข้าราง คือการนาเอาไม้แผ่นหนึ่งฝังเข้าไปในไม้อีกแผ่นหนึ่ง โดยแผ่นที่ฝังเข้าไปนั้น ฝังลงไปเพียง 1 ใน 3 ของความหนาของไม้แผ่นที่ถูกฝัง และมีความหนาในส่วนที่ฝังเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4


ภาพที่ 3.19 แสดงการเข้าราง
ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2.2) การเข้าแนวตรงมุม
การเข้าแนวตรงมุม คือให้แนวเข้านั้นอยู่ตรงมุมพอดี ทาให้ไม่แลเห็นหัวไม้เมื่อมองดูภายนอก การเข้าวิธีนั้นสาคัญก็คือ การเข้าปากกบโดยตัดปลายไม้ทั้งสองท่อนให้เป็นรูปทะแยงทา
มุม 45 องศา แต่เมื่อประกอบกันเข้าทั้งสองท่อนก็จะได้มุมฉาก ( 90 องศา)พอดี

2.2.1) เข้าปากกบเรียบ หมายถึง การเข้าปากแบบติดไม้ทะแยง 45 องศาสองแผ่น เข้าประกอบกันอย่างเรียบๆ การเข้าไม้แบบนี้เหมาะจะนาไปใช้กับงานที่ไม่ต้องมีความแข็งแรงมากนัก เช่น การเข้ามุมกรอบรูปต่างๆเป็นต้น


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2.2.2) เข้าปากกบมีลิ้น การเข้าไม้แบบปากกบมีลิ้น สอดลงไปตามความยาวตลอดแนว เพื่อช่วยยึดไม้ในระหว่างไม้สองแผ่นให้แข็งแรงขึ้นแบบนี้ นับว่าแข็งแรงกว่าการเข้าแบบปากกบเรียบ

2.2.3) การเข้าปากกบบังใบ หมายถึงการแบ่งความหนาของไม้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนในให้ฝังเข้ากันในลักษณะเป็นบังใบ ส่วนนอกให้ตัดทะแยงออกแบบเข้าปากกบเรียบ การเข้าไม้ ชนิดนี้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแบบหนึ่ง มักนิยมใช้ในการเข้ามุมตู้ต่างๆเป็นต้น


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2.2.4) การเข้ามุมแบบหางเหยี่ยว
เป็นการเข้าไม้ระหว่างสองท่อน ปลายของท่อนไม้ท่อนหนึ่งถูกโกรกแบ่งเนื้อไม้ด้านกว้าง
ให้เหลือยื่นออกเป็นตัวแกนรูปหางเหยี่ยวซ้อนกันหลายๆอัน และปลายของอีกแผ่นหนึ่งโกรกออกเป็นร่องสาหรับให้เข้าประสานกันได้พอดี เมื่อนาไม้สองแผ่นมาเข้ากัน จะยึดเหนี่ยวกันแบบฟันเฟือง


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

3.9.11 การเพลาะไม้เป็นแผ่น
การเพลาะไม้ คือการต่อไม้นั่นเอง แต่เป็นการต่อไม้ทางด้านกว้าง เช่นไม้แผ่นเล็กๆ เราเพลาะให้เป็นแผ่นใหญ่ วิธีเพลาะไม้โดยทั่วไป มี 3 วิธี

1 การเพลาะเปิดหัวไม้ เป็นการเพลาะไม้แบบเรียงเป็นแผ่นๆจนกว่าจะได้ขนาดความ
กว้างตามต้องการ โดยใช้ตาปูหรือตาปูเกลียวเป็นตัวยึดเหนี่ยวกับไม้ที่อยู่ข้างหลัง (ดังรูป)


ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

2 การเพลาะไม้โดยมีไม้สกัดหัวท้าย การเพลาะแบบนี้นับว่าเป็นแบบที่แข็งแรงและ
ให้ผลดีที่สุดแบบหนึ่ง
3 การเพลาะโดยเข้ากรอบ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด คือไม้แผ่นที่เพลาะนั้นมีไม้เป็น
กรอบอัดอยู่โดยรอบ นับเป็นวิธีที่มีความแข็งแรงมากที่สุด

ที่มา : ชาลี ลัทธิ และคณะ , 2527

สรุป
งานไม้ เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ และมีความรอบรู้เกี่ยวกับ ชนิด คุณสมบัติของไม้ ใช้เครื่องมือช่าง ไม้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และทางานมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จาเป็นต้องมีความรู้ เกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องใช้และวัสดุอื่นๆที่จะต้องใช้ร่วมกับไม้อีกด้วย เช่น กระจก บานพับ กุญแจ เป็นต้น
งานช่างไม้ สามารถแบ่งออกเป็น ช่างไม้ปลูกสร้าง ช่างไม้ครุภัณฑ์ ช่างไม้แบบ และช่างไม้แกะสลัก
ผู้ที่จะทางานเกี่ยวกับช่างไม้จะต้องรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของไม้แต่ละชนิด ลักษณะการเจริญเติบโต วิธีการในการโค่นต้นไม้ การแปรรูปไม้ และการผึ่งไม้ให้แห้งเพื่อป้องกันการหดตัวหลังจากนาไปใช้
ไม้ที่นามาใช้อาจมีตาหนิ ซึ่งอาจเกิดจาก ธรรมชาติ เช่น เสี้ยนต่างๆ เกิดจากตาไม้ การสูญเสียความชื้น รวมทั้งการใช้เครื่องมือกลในการตกแต่งไม้
การวัดและการออกแบบ เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับงานไม้ เพราะช่วยยลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จาเป็น
วัสดุงานไม้มีหลายอย่าง เช่น ไม้แปรรูป ไม้อัด กระเบื้องแผ่นเรียบ เซลโลกรีต เป็นต้น
เครื่องมือที่ใช้ในงานช่างไม้มีหลายประเภท เช่น เครื่องมือตัด เครื่องมือเจาะ เครื่องมือไสไม้
การต่อไม้ คือการทาให้ไม้ยาวขึ้น หรือการเอาไม้มาเชื่อมกัน โดยวางไปในทางเดียวกัน
การเชื่อมนั้นจะต้องไม่ทาให้บังเกิดมุมขึ้น
การ เสริมไม้ คือ การเอาไม้มาวางทาบกันเข้าให้หนาขึ้น
การเพลาะไม้ คือ การเอาไม้มาวางเรียงกันเข้าทาให้กว้างออกไป
การเข้าไม้ คือการนาเอาไม้มาชนกันเข้า ทาให้เกิดมีมุมในระหว่างกันขึ้น ซึ่งอาจเป็นมุม
ฉาก หรือไม่เป็นมุมฉากก็ได้

http://www.st.ac.th/engin/wood.html
www.thaicarpenter.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศิลปหัตถกรรม ครั้งที่ 63

ผ่านไปแล้วสำหรับ งานศิลปหัตถกรรมครั้ง ที่ 63 โรงเรียนเป็นเจ้าภาพงานศิลปหัตถกรรม ครั้งที่ 63 แข่งขัน ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร...